ปลวก…ป้องกันอย่างไร? ก่อนสร้างปัญหาบานปลาย

    ปัญหากวนใจที่คนมีบ้านทุกขนาด ทุกราคา ต้องพบเจอคือ ปลวก สัตว์ตัวเล็กๆ ที่สร้างปัญหาใหญ่เกินตัว ทำให้ปัจจุบันก่อนสร้างบ้านนอกจากการคำนึงถึงที่ดิน แบบ และความพร้อมด้านวัสดุ และการจัดการเอกสาร ขั้นตอนต่างๆ ก่อนสร้างบ้านแล้ว การเตรียมการป้องกันปลวกทั้งก่อนสร้างและหลังสร้างบ้านก้เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่คนอยากมีบ้านมองข้ามไม่ได้ เคล็ดลับสร้างบ้านแบบหมดปัญหาเรื่องปลวก ฉีดน้ำยาป้องกันปลวกเคลือบหน้าดิน เป็นการฉีดน้ำยาเคมีป้องกันปลวกในบริเวณหน้าดินให้ทั่วพื้นที่ก่อสร้างบ้าน วิธีนี้จะทำให้ปลวกไม่สามารถผ่านหรืออาศัยอยู่ในพื้นที่บริเวณนั้นได้ ถือเป็นการป้องกันที่สามารถใช้ได้เป็นระยะเวลา 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับคุณภาพของสารเคมี ลักษณะสภาพแวดล้อมที่จะเอื้อต่อการอยู่อาศัยของปลวก และลักษณะของพื้นที่ที่สารเคมีสามารถคงอยู่ได้ โดยหากเกิดน้ำท่วมบ่อยๆ ก็อาจชะล้างสารดังกล่าวออกไป ทำให้ระยะเวลาป้องกันปลวกลดน้อยลง สำรวจเส้นทางเดินของปลวก การสำรวจทางเดินของปลวกจะทำให้หาต้นตอที่ปลวกทำรังอยู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นปลวกบนดินหรือใต้ดิน เมื่อพบเจอแล้วและอยู่ในพื้นที่ที่จะสร้างบ้านต้องดำเนินการทำลายทิ้งด้วยน้ำยาหรือสเปรย์ฆ่าปลวก โดยให้เวลาน้ำยาทำงานและทำซ้ำๆ จนกว่าจะแน่ใจว่าพื้นที่สร้างบ้านจะไม่มีปลวกเข้ามารบกวน จัดวางระบบท่อน้ำยาป้องกันปลวก ถือเป็นวิธีที่สามารถป้องกันปลวกได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว และเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน โดยวิธีนี้จะใช้การวางท่อน้ำยาไปตามคานและเจาะรูที่ท่อให้มีระยะห่างเท่าๆ กัน และต้องไม่วางท่อสัมผัสพื้นดินโดยตรงเพราะจะทำให้เสี่ยงต่อการอุดตันได้ เมื่อถึงกำหนดเวลาก็เพียงฉีดอัดน้ำยาป้องกันปลวกลงบริเวณพื้นดินใต้อาคาร ซึ่งสามารถทำได้ทุกปี โดยไม่ต้องเจาะพื้นดินใต้บ้าน หรือทุบพื้นบ้านทิ้ง ฉีดน้ำยาเคมีป้องกันปลวกกับไม้ทุกชิ้น การเลือกใช้ไม้สร้างบ้านควรเลือกเป็นไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้เต็ง ไม้แดง ที่สามารถทนต่อการกัดกินทำลายจากปลวก และควรมีการฉีดพ่นน้ำยาเคลือบก่อนใช้งาน เพื่อป้องกันปลวก หรืออีกทางเลือกคือการเลือกใช้ไม้ที่ผ่านการอบน้ำยาป้องกันปลวกมาแล้ว จะทำให้การใช้งานไม้ประกอบการสร้างบ้านมีประสิทธิภาพมากขึ้น และหมดปัญหาปลวกกัดกินไม้กวนใจ…

เรื่องควรรู้ ก่อนสร้างบ้านสไตล์รีสอร์ท

    การสร้างบ้านสไตล์รีสอร์ทมีขั้นตอนไม่ต่างจากการสร้างบ้านสไตล์อื่นๆ แต่ในเรื่องของรายละเอียดที่ต้องมีในบางส่วนอาจแตกต่างกันไปบ้างตามแบบบ้านและความต้องการของผู้อยู่อาศัย โดยเฉพาะสวนและพื้นที่สีเขียวที่ถือเป็นจุดเด่นและหัวใจของบ้านสไตล์รีสอร์ท ดังนั้นก่อนสร้างบ้านสไตล์รีสอร์ท เจ้าของบ้านต้องรู้และเตรียมตัวเกี่ยวกับอะไรบ้าง มาดูกัน ที่ดินที่ใช้สร้างต้องมีพื้นที่ว่างไม่ต่ำกว่า 30% ปัจจุบันบ้านสไตล์รีสอร์ทสามารถสร้างได้แม้ใจกลางกรุงเทพ ขอเพียงบ้านนั้นมีการออกแบบให้เอื้อต่อการสร้างสรรบรรยากาศของความเป็นรีสอร์ท โดยเฉพาะในที่ดินที่ปลูกสร้างบ้าน นอกจากตัวบ้านแล้ว ยังต้องมีพื้นที่ว่างๆ ที่ไม่มีสิ่งก่อสร้าง 30% ของพื้นที่ทั้งหมด เพื่อกันไว้สำหรับการสร้างบรรยากาศรีสอร์ท ไม่ว่าจะเป็นสวน ต้นไม้ เนินดิน สนามหญ้า บ่อเลี้ยงปลา น้ำตก หรือแม้แต่โต๊ะ หรือศาลานั่งเล่น เข้าถึงธรรมชาติตั้งแต่ทางเข้าบ้าน เสน่ห์ของบ้านสไตล์รีสอร์ท คือ คุณสามารถซึมซับและสัมผัสความเป็นธรรมชาติได้ตั้งแต่ภายนอกยามที่มองเข้ามา และหากเข้ามาแล้วความเป็นรีสอร์ทจะมีให้สัมผัสตั้งแต่ทางเข้าที่ให้ความรู้สึกสดชื่น ร่มรื่น เย็นสบาย เป็นเหมือนการได้ชาร์ตพลังในทุกๆ วันทั้งยามออกจากบ้านและกลับเข้าบ้าน มีพื้นที่ทำกิจกรรมกลางธรรมชาติ การสร้างบ้านสไตล์รีสอร์ทเน้นการสร้างให้สมาชิกสามารถใช้พื้นที่ทำกิจกรรมทั้งแบบส่วนตัวและร่วมกันได้ในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ส่วนกลางที่ควรมีไว้รองรับกิจกรรมของสมาชิกในทุกช่วงเวลา ดังนั้นการออกแบบพื้นีท่ส่วนกลางท่ามกลางธรรมชาติ ต้องคำนึงถึงทิศทางลม แสงแดด ที่ตกกระทบในแต่ละเวลา เพื่อการวางตำแหน่งต้นไม้ใหญ่ และร่วมเงาจากส่วนต่างๆ ให้เหมาะสมตอบรับกับการใช้งานพื้นที่ ขณะเดียวกัน พื้นที่ส่วนกลางยังควรสามารถรับทั้งลม แสงแดดอ่อน เสียงธรรมชาติ และความสดชื่นเย็นสบายจากน้ำตกหรือน้ำพุจากพื้นที่สวนได้ด้วย แบบบ้านเปิดให้เห็นธรรมชาติภายนอกจากทุกมุม การออกแบบบ้านสไตล์รีสอร์ท นอกจากการมีบ้านไว้ท่ามกลางธรรมชาติแล้ว การออกแบบให้ทุกพื้นที่ในบ้านสามารถมองออกมาเห็นและซึมซับความเป็นธรรมชาติได้ก็เป็นอีกสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงในการออกแบบ…

เรื่องควรรู้ ความต่างระหว่างสีทาภายนอกกับสีทาภายใน

    บ้านจะสวยโดดเด่นได้นั้นต้องมีสีสันที่สวยงามทั้งภายนอกและภายใน โดยการเลือกใช้สีทาบ้านจะเป็นไปตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคล รวมถึงความเหมาะสมกับประเภทการใช้งานและพื้นที่ที่ใช้ ซึ่งถือเป็นเรื่องละเอียดที่ต้องใส่ใจและเจ้าของบ้านอาจจะยังไม่เข้าใจความต่าง โดยเฉพาะสีทาภายนอกและภายที่ปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลาย แต่จะเลือกใช้อย่างไร ใช้แทนกันได้หรือไม่ และใช้อย่างไรให้สวยทนอยู่ติดบ้านไปนานๆ วันนี้ AYB มีคำตอบ สีทาภายนอกกับสีทาภายในต่างกันอย่างไร? สีทาภายนอก ความเข้มข้นของสีทาภายนอกจะมีความเข้มข้นกว่าสีทาภายใน เนื่องจากมีคุณสมบัติช่วยป้องกันรังสี UV ทนทานความร้อนจากแสงแดด สีติดทนนานไม่ซีด ไม่หลุดลอกง่าย กันความชื้นและเชื้อราได้ดี จึงมีราคาสูงกว่าสีทาภายใน ที่สำคัญการทำความสะอาดก็ทำได้ง่าย สามารถเช็ดถูทำความสะอาดได้ปกติโดยที่สีไม่หลุดลอก สีทาภายใน สีทาภายในส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อสีแท้ไม่มีการผสมของสารเคมีอื่น ความฉุนของสีก็จะน้อยกว่าสีทาภายนอก เพราะต้องใช้ทาภายในบ้าน เหมาะสำหรับการทาในห้องนอน ห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น เมื่อสีเริ่มแห้งแล้วจะมีความเงาและมีความละเอียดของสีค่อนข้างสูง สามารถทำความสะอาดได้เช่นเดียวกับสีทาภายนอก ใช้สีทาสลับภายนอกและภายในได้หรือไม่? สีสามารถใช้ทาได้ทั้งภายนอกและภายใน แต่คุณสมบัติของสีแต่ละชนิดที่มีอยู่ไม่เหมือนกัน หากใช้ทดแทนกันก็เหมือนกับการใช้งานสีไม่ตรงตามคุณสมบัติ ทำให้ประสิทธิภาพการใช้งานเป็นไปอย่างไม่เต็มร้อย เช่น 1. สีภายในทาภายนอก หากต้องการนำสีภายในไปทาภายนอกก็สามารถทำได้ แต่อย่าลืมว่าคุณสมบัติเฉพาะของสีทาภายในอาจไม่มีเรื่องของการป้องกันรังสี หรือป้องกันแสงแดด ทำให้เมื่อทาสีไปได้ระยะเวลาหนึ่งซึ่งอาจสั้นกว่าการใช้สีภายนอกโดยเฉพาะ สีที่ทามีการซีดจาง ไม่สดใหม่เหมือนทาครั้งแรก ระยะเวลาที่สีสดสวยอั้นลงกว่าปกติ ทำให้ต้องทาสีทับเป็นประจำส่งผลให้เสียงบในการทาสีบ่อยๆ ทั้งค่าสี ค่าช่าง 2. สีภายนอกทาภายใน หากต้องการนำสีภายนอกมาทาภายในก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน…

ทิศทางลม-แดด มีผลกับการสร้างบ้านอย่างไร?

    การดูทิศทางของลม-แดด ก่อนสร้างบ้านนั้นถือว่าเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งต้องคำนึงถึงการอาศัยอยู่ในระยะยาว ให้อยู่สบายในทุกฤดูกาล โดยการวางผังบ้านให้เหมาะกับทิศทางลม-แดด จะช่วยให้บดบังแสงแดดจากฤดูร้อน ให้แดดไม่โดนตัวบ้านมากนัก หรือในช่วงฤดูฝนก็ไม่ต้องกลัวเรื่องฝนสาดกระเซ็นเข้าตัวบ้าน วันนี้ AYB มีวิธีดูทิศทางลม-แดด ให้เหมาะกับการสร้างบ้านมาฝากค่ะ   ทิศแสงแดด ควรหลีกเลี่ยงการวางตำแหน่งห้องที่ใช้งานบ่อยๆ หรือใช้งานยาวนานไว้ในทิศที่จะได้รับแสงแดดมากที่สุดอย่างทิศใต้และทิศตะวันตก เพราะจะทำให้มีการกักเก็บความร้อนไว้สูงและกินเวลายาวนานในช่วงบ่าย ทำให้ความร้อนหลงเหลืออยู่ถึงช่วงกลางคืน หากวางตำแหน่งห้องนอนในทิศทางนี้จะทำให้อากาศในห้องมีความร้อนสะสม และทำให้รู้สึกไม่สบายยามพักผ่อน   ทิศทางลม ทิศลมนั้นก็สำคัญไม่แพ้ทิศของแสงแดด หากเราทำการวางผังบ้านในทิศของลมที่เหมาะสมหรือถูกต้อง โดยหันมุมบ้านด้านที่เปิดรับลมได้เต็มที่ให้เข้ากับทางลม จะทำให้บ้านมีความเย็นจากธรรมชาติ ช่วยประหยัดพลังงานจากการเปิดเครื่องปรับอากาศหรือพัดลมได้   วางตำแหน่งผังห้องในบ้านอย่างไร? 1.ห้องนอน ห้องนอนเป็นห้องที่ใช้สำหรับพักผ่อนและสร้างความผ่อนคลายเช่นเดียวกันกับห้องนั่งเล่นและห้องรับแขก จึงควรตั้งอยู่ทางทิศเหนือ เพื่อรับแสงแดดอ่อนๆ ในยามเช้า และในยามกลางคืนห้องนอนจะไม่สะสมความร้อนไว้ เพราะดวงอาทิตย์โคจรอ้อมทิศใต้ หากยิ่งเป็นช่วงต้นปีที่มีความเย็นลดลง ห้องนอนที่ตั้งทางทิศเหนือจะได้รับลมเย็นอีกด้วย   2.ห้องนั่งเล่น หรือห้องรับแขก ห้องนั่งเล่นและห้องรับแขก ถือว่าเป็นห้องที่มีไว้สำหรับการผ่อนคลายโดยเฉพาะ หากห้องมีอากาศที่ร้อนอบอ้าวมากเกินไปก็คงไม่เหมาะที่จะใช้ทำห้องนั่งเล่นหรือห้องรับแขก ดังนั้นห้องนี้ควรตั้งไปทางทิศเหนือจะดี เพราะเป็นทิศที่ไม่โดนแสงแดดเท่าทิศใต้และทิศตะวันตก และยังเป็นทางผ่านของลมได้ดี เหมาะสำหรับการเปิดหน้าต่าง หรือประตูเพื่อรับลมธรรมชาติ   3.ห้องน้ำ เนื่องจากห้องน้ำต้องถือเรื่องสุขอนามัยเป็นหลัก แสงแดดก็เป็นตัวช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ดี…